เหตุใดทรัมป์จึงหันมาให้ความสำคัญต่อภาษีศุลกากร ?
“ผมได้คุยกับลูกค้าสหรัฐฯ แล้วต่างก็งงกันหมด สิ่งหนึ่งที่ได้คุยกับลูกค้าสหรัฐฯ อัตราภาษีแต่ละประเทศแต่ละตัวมันไม่เท่ากัน ซึ่งเขากำลังหาข้อมูลเช่นกัน”
- นัย: เป็นการสร้างกำแพงภาษีพื้นฐานที่ทุกประเทศต้องเผชิญเหมือนกันหมด
หากบริษัทนำเข้าของสหรัฐฯ ส่งต่อต้นทุนทางภาษีเหล่านี้ให้กับผู้ซื้อผลิตภัณฑ์ในสหรัฐฯ ในรูปแบบของราคาขายปลีกที่สูงขึ้น ผู้บริโภคในสหรัฐฯ จะเป็นผู้รับภาระทางเศรษฐกิจนี้ตามมา
- การลงทุนในประเทศ: ผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะกลุ่มที่ส่งออกไปสหรัฐฯ หรืออยู่ในห่วงโซ่อุปทานที่เกี่ยวข้อง อาจชะลอการลงทุนและการขยายกิจการ เพื่อรอดูความชัดเจนของนโยบายและผลกระทบ
อย่างไรก็ดี วันต่อมาตลาดหุ้นสหรัฐฯ กลับพลิกกลับมาปรับตัวลดลงอีกครั้ง หลังสหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีสินค้าจากจีนเพิ่มเติม ทำให้ตลาดกลับมากังวลถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น หากสหรัฐฯ และจีนยังคงใช้มาตการภาษีตอบโต้กันไปมาเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ
โดยประเมินว่าเศรษฐกิจไทยอาจถูกกระทบทั้งปัจจัยการผลิตและส่งออก จากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และประเทศอื่นๆ ที่มีแนวโน้มจะเห็นความยุ่งยากเพิ่มมากขึ้นในอนาคต
ผลกระทบระลอกใหม่ต่อแคนาดาและเม็กซิโกจะเป็นอย่างไร
"ผมคิดว่า เวียดนามอาจจะเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้ได้รับชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดจากการใช้มาตรการทางภาษีของสหรัฐฯ ในรอบนี้"
คำถามที่ว่าภาระภาษี "ทางเศรษฐกิจ" สุดท้ายแล้วจะไปตกอยู่ตรงจุดไหนนั้น เป็นสิ่งที่ซับซ้อนมากกว่า ต่างจากการเรียกเก็บเงินล่วงหน้า
“มุมมองต่อภาพรวมธุรกิจของไทยในปีนี้เหมาะช่วงครึ่งปีแรกมองว่ายังพอไปได้แต่ช่วงครึ่งปีหลังค่อนข้างน่าเป็นห่วง”
หลังจากการประกาศของทรัมป์ นายกรัฐมนตรีของแคนาดา มาร์ก คาร์นีย์ กล่าวว่าภาษีศุลกากรใหม่นี้จะ “เปลี่ยนแปลงระบบการค้าระหว่างประเทศโดยพื้นฐาน” และ “เราจะต่อสู้กับภาษีศุลกากรเหล่านี้ด้วยมาตรการตอบโต้”
- การหางานใหม่ยากขึ้น: ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมที่ชะลอตัวลง ทำให้การเคลื่อนย้ายแรงงานหรือการหางานใหม่ทำได้ยากลำบากขึ้น
“เราจะเก็บภาษีพวกเขาประมาณครึ่งหนึ่งจากที่พวกเขาทำและเก็บจากสหรัฐฯ มาตลอด Trump ตั้งกำแพงภาษี ดังนั้นกำแพงภาษีนี้ยังไม่ใช่การตอบโต้อย่างเต็มที่” นายทรัมป์กล่าว “ผมควรจะทำอย่างนั้น ผมคิดว่านะ แต่มันคงจะยากลำบากสำหรับประเทศมากมาย และเราไม่ต้องการทำแบบนั้น”